From 0 to 42.195 ภารกิจพิชิตมาราธอน !!! — ตอนที่ 3 Marathon แรกในชีวิต
มาถึงภาคสุดท้ายกันแล้วนะครับ ใครจะยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 > From 0 to 42.195 ภารกิจพิชิตมาราธอน !!! — ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น และตอนที่ 2 > From 0 to 42.195 ภารกิจพิชิตมาราธอน !!! — ตอนที่ 2 Half Marathon แรก สามารถย้อนกลับไปอ่านกันก่อนได้นะครับ
มิ.ย. 62 — งานวิ่งที่ 11: Marathon แรกในชีวิตที่ Laguna Phuket
หลังจากเกือบเอาตัวไม่รอดที่งาน Run for the King 2019 (23.5K) ก็รู้ตัวทันทีครับว่า Laguna นี่สาหัสแน่นอน 2 อาทิตย์ก่อนแข่ง ตัดสินใจพักเลยครับ รักษาร่างกายให้ฟื้นฟูให้ได้เยอะที่สุด ที่เหลือวัดใจเอา
ซึ่งพอเจ็บแบบนี้ในหัวก็กลับมาคิดวนเวียน จิตตก เหมือนมีตัวดี กับตัวร้ายตีกันอยู่ในหัวเลยครับ
ตัวร้าย
- เจ็บแน่นอน !!! ไม่ต้องลุ้น … จะไปวิ่งให้ทรมานร่างกายทำม๊าายยยย
- ไปวิ่งสภาพร่างกายแบบนี้ ไปก็เป็นภาระคนอื่น เปล่าๆ แถม DNF ให้เจ็บใจอีก
- ซ้อมสูงสุดได้ที่ 25K เอง ทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะให้ได้อย่างน้อย 32K … แล้วแบบนี้จะรอดไหม
- Laguna Phuket โหดนะ เนินเยอะมาก แดดก็ร้อนมากกก … พี่โหดนะ หนูไหมหรอ ?!?!
- เราแค่ไปเที่ยวภูเก็ตก็ได้นะ ไม่ต้องไปวิ่งก็ได้ ไม่มีใครว่าหลอก
- งานวิ่งมีอีกเยอะแยะ งานนี้ไม่ได้วิ่ง งานหน้าก็ยังมี รักษาให้หายก่อนไหม?
ตัวดี
- สมัครแล้วก็ไปเถอะ Marathon แรกมีครั้งเดียวนะ
- อาจจะหายก็ได้นะ พักตั้ง 2 อาทิตย์แล้ว
- เอาน่าาาา …ไปวิ่งให้สนุกก็พอ DNF เพราะเจ็บ ก็ช่างมัน ไปแข่งแล้วแพ้ ดีกว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้แข่ง
- ไปเถอะ…เวลาเค้าให้มาตั้ง 7 ชั่วโมงครึ่ง (7:30) วิ่งๆ เดินๆ … เดินมากกว่าวิ่งก็ยังถึงเลย
มันเป็นความเครียดที่สะสมอยู่ครับ คิดทบทวน ถามตัวเองวนไปวนมาอยู่หลายวัน เอาตีนกายหน้าฝากก็แล้ว หาข้อมูลใน FB Pantip ดูสิว่า เพื่อนๆ นักวิ่ง ว่ากันไง บ้าง ? จิตตกไปหลายวันเลยครับ
เอาไง… แข่ง/ไม่แข่ง?
สุดท้ายผมสรุปกับตัวเองแบบนี้ครับ … “ลงแข่งไปเถอะ ถ้า DNF เพราะเจ็บระหว่างแข่ง ก็ยังดีกว่าใจเสาะไม่ลงแข่ง ก็เป็นไอ้ขี้แพ้ตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว !!! ไปวิ่งให้สนุก ได้แค่ไหนแค่นั้น เอาให้ถึงเส้นชัยก็พอ เวลาช่างมัน ถึงจะแพ้หรือไม่เข้าเส้นชัย สนามหน้าก็ยังมีให้แก้มือ”
“ลงแข่งไปเถอะ ถ้า DNF เพราะเจ็บระหว่างแข่ง ก็ยังดีกว่าใจเสาะไม่ลงแข่ง ก็เป็นไอ้ขี้แพ้ตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว !!!”
เตรียมพร้อม รับสภาพ
รู้สภาพตัวเองว่าไม่สมบูรณ์ ถ้าอยากจบ ยิ่งต้องเตรียมพร้อมครับ !!! ดังคำกล่าวที่ว่า “Wish for the Best, Prepare for the Worst” ครับ ผมเลยจัดที่รัดเข่า 3M Futuro มา 2 แบบเลยครับ แบบ Knee Support กับแบบ Knee Strap และที่ขาดอีกไม่ได้ก็คือ กัญชานักวิ่ง หรือสเปรย์ บรรเทาปวดนั้นเองครับ ส่วนตัวผมชอบ Uniren Spray ก็จัดมาด้วย 1 ขวดครับ
“Wish for the Best, Prepare for the Worst”
ที่ซื้อมาทั้ง แบบ Knee Support กับแบบ Knee Strap นี่ยังไม่เคยได้ลองซ้อมใช้งานจริงเลยครับ ซึ่งขัดกับกฏเหล็กของนักวิ่งที่ว่า “อุปกรณ์ที่ไม่เคยซ้อม ห้ามใช้วันจริงเด็ดขาด” เลยตัดสินใจว่าจะยังไม่ใช้ตั้งแต่ต้น จะหยิบมาใช้ก็ต่อเมื่อมีอาการบาดเจ็บแล้วเท่านั้น…ไม่เช่นนั้น จะเจ็บตั้งแต่ต้น และไม่จบเอาได้
“อุปกรณ์ที่ไม่เคยซ้อม ห้ามใช้วันจริงเด็ดขาด”
วางแผน
อยากจบก็ต้องวางแผน และทำการบ้านครับ ต้นทุนร่างกายมีน้อย ใช้สอยอย่างประหยัด 555 พอเปิด Google ก็พบว่ามีสูตรที่กูรูแนะนำคือ “วิ่งให้ได้ระยะทาง 2/3 โดยใช้แรงแค่ครึ่งเดียว” ซึ่งนั้นก็ คือ วิ่ง 0–28K ด้วยกำลัง 50% ส่วน 14K สุดท้าย ใช้แรกอีก 50%
“วิ่งให้ได้ระยะทาง 2/3 โดยใช้แรงแค่ครึ่งเดียว”
ศึกษาเส้นทาง
จากประสบการจาก Half Marathon แรก เมื่อต้นปี ก็ทำให้รู้ว่า ไม่ควรเปรี้ยววิ่งขึ้นเนินอีก ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่จบแน่ๆ ฉะนั้น เจอเนิน ต้องเดิน ห้ามวิ่ง !!!
กะเวลาและกำลังให้ดี
งานวิ่งทุกงานมี Cutoff ครับ งานนี้ก็เช่นกัน 7 ชั่วโมงครึ่ง (7:30 ชม.) ต้องบริหารกำลัง บริหารร่างกาย และบริหารเวลาให้ดีครับ … สำหรับตัวผมเอง ผมเลยแบ่งออกเป็น 4 กรณี คือ
- แบบที่ดีที่สุด ตามหลักการ (Best Practice) จะจบที่ 5.26 ชม.
- แบบร่างกายปกติ ที่น่าจะทำได้ดีที่สุด (Normal Best) จะจบที่ 5.28 ชม.
- แบบร่างกายปกติ ที่น่าจะเป็นไปได้ (Normal Expected) จะจบที่ 6.00 ชม.
- แบบที่เจ็บ ที่น่าจะเป็นไปได้ (Injury Expected) จะจบที่ 6.46 ชม.
ซึ่งบอกเลยว่าแม่นนำอย่างไม่น่าเชื่อ 5555
ส่วน Energy Gel ก็เอาที่กินประจำไป 5 ซองครับ กินทุกๆ 8 กิโล
Running Check List
คนไม่พร้อม อุปกรณ์ต้องพร้อม 555 … วิ่งมาราธอนแรกก็จะตื่นเต้นหน่อย ของก็จะเยอะมาก นู้นก็จำเป็น นี่ก็จำเป็น … นี่กะว่าไม่ลืมอะไรแล้วนะ สุดท้าย ลืมหูฟัง T-T (แต่เอาเข้าจริง ฝนตกหนักขนาดนี้ ก็ใช้หูฟังไม่ได้อยู่ดี เพราะว่ามันเปื่อยแล้ว น้ำเข้า พังพอดี )
ก่อนแข่ง
ไหว้พระขอพร
ในเมื่อร่างการเราไม่ไหว ก็ต้องใช้ที่พึ่งทางใจครับ เพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว … ใจไปถึง กายก็ต้องไปถึงครับ 555 แวะไหว้หลวงพ่อ วัดพระทอง ให้เป็นสิริมงคลกันสักหน่อยครับ ^^
วันรับ Race Kit
วันเสาร์ ก่อนแข่งไปรับ Race Kit ที่ Laguna Grove ฝนตกทั้งวันเลยครับ มีหนักบ้าง เบาบาง … เจอฝนแบบนี้ แอบคิดในใจ พรุ่งนี้ก็คงไม่น่ารอดแน่นอน วิ่งกลางสายฝนแน่นอนครับ … เลยแวะ 7–11 แวะซื้อเสื้อกันฝนเพิ่มกันอีกคนละ 1 ชุดครับ
ตอนรับ Race Kit เสร็จ ก่อนออกก็มีข้อความออกมาจาก BIB ขึ้นที่หน้าจอ บอกกับผมว่า “ความเจ็บปวดแค่ชั่วคราว ความภูมิใจอยู่ตลอดไป” … แหมมมม๊ เป็นอะไรที่ โดนใจ ตรงสถานการณ์แบบสุดๆ ผู้จัดช่างรู้ใจจริงๆ เป็น quote of the year สำหรับผมเลยจริงๆ 5555
“ความเจ็บปวดแค่ชั่วคราว ความภูมิใจอยู่ตลอดไป”
Full Marathon แรกในชีวิต
ตื่นเต้นมากครับ เตรียมของให้พร้อมก่อนนอน แล้วก็รีบนอนตั้งแต่ 1 ทุ่มเลยครับ งานนี้ผมบอกพี่เอิร์ธว่า “ไปก่อนเลยพี่ ไม่ต้องรอผม ผมไปเรื่อยๆ ของผมได้” 555…ก่อนปล่อยตัว ก็พยายามยืดเหยียด วอร์มร่างกายให้พร้อมครับ ฝนก็ตกปรอยๆ ตลอด
ช่วง 0–8K
ปล่อยตัว 4:30 ฝนตกก็เอาชุดกันฝนมาใส่ก่อนเลยครับ … วิ่งมาได้แค่ 1 กิโลแรก ก็รำคาญครับ ร้อนด้วย ถอดเสื้อกันฝนออกดีกว่า 555 พยายามวิ่งตามแผนคือ วิ่งช้าๆ วิ่งให้ได้ 28K ด้วยกำลังเพียงครึ่งเดียว ก็เริ่มวิ่งที่ pace ประมาณ 8.0 ครับ
ซวยละ !!! กม. ที่ 3 ก็เริ่มเจ็บแผลเก่าครับ !!! อาการมาเร็วกว่าที่คิดไว้มากกกกกกก… ยังเหลือระยะอีกกว่า 40 โล แล้วจะรอดไหมเนี่ย เลยต้องฉะลอความเร็วอยู่ที่ pace ประมาณ 8:30 ครับ อาศัยวิ่ง สลับเดิน ตั้งแต่ 3 กม. แรกเลยครับ และสุดท้ายก็ยังเจ็บอยู่ดี จนต้องหยิบเจ้า 3M Futuro Knee Strap มาใช้งานครับ
พอคาดเจ้า Knee Strap ก็เหมือนจะช่วยได้ครับ สามารถลงน้ำหนักได้ แต่ก็ยังเจ็บอยู่บ้าง ก็เลยวิ่งประคองๆ สลับเดินเร็ว ที่ pace 8:30 มาเรื่อยๆ ครับ
ซวยละ !!! กม. ที่ 3 ก็เริ่มเจ็บที่เก่าแล้วครับ !!! อาการมาเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ยังเหลือระยะอีกกว่า 40 โล แล้วจะรอดไหมเนี่ย
ช่วง 8–16K
ช่วงนี้เป็นบริเวณที่โหด อันหนึ่งของสนามนี้ครับ เพราะว่าเริ่มขึ้นเขา ขึ้นเนิน ลงเนินแล้วยิ่งฝนตก ยิ่งต้องระมัดระวังให้ดี
ช่วง กม.ที่ 10 ฝนก็เทลงมาอย่างหนักเลยครับ แต่ไม่น่าเชื่อ! สายฝนเปรียบดั่งฟ้าประทานพร ผมรู้สึกสดชื่น เลยเงยหน้า ยิ้มรับน้ำฝน ที่กระหน่ำลงมา หัวใจสดชื่น เริ่มวิ่งได้อย่างมั่นใจ และไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวนจิตใจเลยครับ ผมก็กลับมาวิ่งได้อย่างที่ซ้อมไว้ คือ pace 7.5 ครับ (แต่เจอเนิน ผมก็เดินเอานะครับ ไม่เปรี้ยววิ่ง)
กม.ที่ 10 ฝนก็เทลงมาอย่างหนักเลยครับ แต่ไม่น่าเชื่อ! สายฝนเปรียบดั่งฟ้าประทานพร ผมรู้สึกสดชื่น เลยเงยหน้า ยิ้มรับน้ำฝน ที่กระหน่ำลงมา หัวใจสดชื่น เริ่มวิ่งได้อย่างมั่นใจ และไม่มีอาการบาดเจ็บมารบกวนจิตใจเลยครับ
ระหว่างทาง ที่ฝนกำลังกระหน่ำ ผมก็ได้มาพบกับคุณลุงนักวิ่งท่านหนึ่งครับ เราคุยกันระหว่างวิ่ง แกบอกว่า “แกวิ่งมา 100 กว่าสนามแล้ว !” ส่วนผม “นี่เป็นสนามแรก !” แกก็ให้กำลังใจผม แล้วบอกผมว่า “หนุ่ม ไม่ต้องรีบนะ ค่อยๆ ไป ใจเย็นๆ วิ่งๆ เดินๆเอา ถึงแน่นอน”
“หนุ่ม ไม่ต้องรีบนะ ค่อยๆ ไป ใจเย็นๆ วิ่งๆ เดินๆเอา ถึงแน่นอน”
ช่วง 16–24K
ช่วงนี้มาแถวๆ หาดในยาง เป็นอุทยานฯ วิ่งเลียบชายหาด ที่นี่สวยมากครับ แต่มีช่วงหนึ่งที่เส้นทางเหมือนวิ่ง trail เลยครับ ครบรสจริงๆ สนามนี้ … หลังจากที่ทำความเร็วมาช่วงหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่าต้องฉะลอ และวิ่งสลับเดิน และยืดเหยียด ไม่เช่นกันจะไม่เหลือแรงในช่วงท้าย เลยเหลือ pace 8.4 ครับ
ช่วง Half คือ กทม. ที่ 20–21 เป็นอะไรที่โหดพอสมควร เหมือนในใจมันอยากจะหยุดที่ระยะนี้ แต่อีกใจก็มาจนครึ่งทางแล้ว ยังไงก็ต้องไปต่อ…
ช่วง 25–32K
คือ ช่วงโหดอีกช่วงหนึ่ง ที่ต้องวนกลับมาขึ้นเนินกลับไป Laguna ครับ ด้วยกำลังที่ลดลง ขาที่ล้า อาการบาดเจ็บเริ่มกลับมาอีกแล้ว ><”
พอผ่าน กม. ที่ 25 มาได้ ผมก็บอกกับตัวเองว่า ระยะทางที่เหลือคือกำไรแล้ว เพราะว่าเราซ้อมมาเท่านี้ 555 …แล้วพอผ่าน กม. ที่ 28 มาได้ ก็รู้สึกว่านี่คือ 2/3 ของระยะทางแล้ว แรงเรายังเหลือถึงครึ่งไหม๊นะ (เอาจริงๆ หมดไปเยอะกว่าครึ่งแน่ๆ)
พอผ่าน กม. ที่ 25 มาได้ ผมก็บอกกับตัวเองว่า ระยะทางที่เหลือคือกำไรแล้ว เพราะว่าเราซ้อมมาเท่านี้ 555
ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรครับ แค่ประคองตัวมาเรื่อยๆ ที่ pace 8.5
ช่วง 32–38K
ช่วงนี้เป็นป่ายาง จะว่าสวยก็สวยครับ แต่เนินเยอะมาก ไม่ต้องนับกันเลยครับ เนินแล้วเนินเล่า คือ ปวดขา ขาตึง ตะคริวจะขึ้นครับ อาศัยวิ่งเกาะกลุ่มนักวิ่ง ที่วิ่งมาด้วยกัน ที่ความเร็วใกล้ๆ กันครับ
ช่วงนี้เป็นป่ายาง จะว่าสวยก็สวยครับ แต่เนินเยอะมาก ไม่ต้องนับกันเลยครับ เนินแล้วเนินเล่า คือ ปวดขา ขาตึง ตะคริวจะขึ้นครับ
และแล้วหายนะก็มาถึง กม.ที่ 36 อาการปวดข้อเท้าทั้ง 2 ข้างมาเยือน พร้อมอาการปวดน่องด้านบน ที่เดิมเลยครับ คิดว่าเกิดจากการวิ่งลงเนินที่ผ่านมานั่งเอง ต้องหยุดยืดเหยียด ฉีดสเปรย์ ขนาดต้องถอดรองเท้าออกมานวดเลยครับ แล้วก็พยายามเดินต่อไป
กม.ที่ 36 อาการปวดข้อเท้าทั้ง 2 ข้างมาเยือน พร้อมอาการปวดน่องด้านบน ที่เดิมเลยครับ
กม. ที่ 37-38 คือ ปีศาจที่กัดกินทั้งร่างกาย และจิตใจเลยครับ ขาซ้ายระบม จนก้าวไม่ออก ลงน้ำหนักไม่ได้ มันแสนจะเจ็บปวด อาการหนัก จนในที่สุดก็ต้องหยิบอาวุธลับสุดท้ายออกมาใช้ คือ เจ้า 3M Knee Support ครับ แล้วก็ก้มหน้า ก้มตาเดินต่อไปครับ ทำยังไงก็ได้ ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าให้ได้ก็ แค่อย่าหยุดก็พอ จน pace ตกมาที่เกือบ 9:00 เลยครับ
กม. ที่ 37–38 คือ ปีศาจที่กัดกินทั้งร่างกาย และจิตใจเลยครับ ขาซ้ายระบมจนก้าวไม่ออก ลงน้ำหนักไม่ได้ มันแสนจะเจ็บปวด
ช่วง 38–42K
ช่วงสุดท้ายของการแข่ง ก็ยังมีเนินอีกหลายลูกครับ ขาซ้ายที่เจ็บ ก็ยังเจ็บอยู่ พยายามจะวิ่งแต่ก็ไม่ไหวครับ pace หรือ เวลาก็ไม่สนใจแล้วครับ (ซึ่ง pace น่าจะประมาณ 11 ) ไปข้างหน้าด้วยใจล้วนๆ เลยครับ
ผมบอกกับตัวเองว่า “อีกแค่ 5 กม. เอง มาขนาดนี้แล้ว ไม่ไหวก็ต้องไหว เวลาก็ยังมี นี่มันระยะ Fun Run 5 โลเอง 1 ชม. นึง เดินได้สบายๆ” … แต่สภาพตอนนั้น คือ ไม่ไหวมากกกกจริงๆ ครับ แรงไม่หมดนะครับ แต่มันเจ็บ !!! T-T เรียกว่ารู้สึกเจ็บแปล๊บที่เข่าซ้าย ทุกครั้งที่ลงน้ำหนักเลยครับ
อีกแค่ 5 กม. เอง มาขนาดนี้แล้ว ไม่ไหวก็ต้องไหว เวลาก็ยังมี นี่มันระยะ Fun Run 5 โลเอง 1 ชม. นึง เดินได้สบายๆ
ช่วงประมาณ 1 กม. สุดท้าย ก็มีบรรดาเหล่านักวิ่งที่เข้าเส้นชัยแล้ว ต่างก็คอยตะโกน “สู้ๆครับ จะถึงแล้ว” คอยให้กำลังใจ ผมและบรรดานั่งวิ่งที่กำลังจะเข้าเส้นชัย มันเป็นมิตรภาพ มันเป็นกำลังใจจากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ช่างเป็นอะไรที่ซ้าบซึ้ง และเติมกำลังใจได้ดีจริงๆ ครับ
ช่วงประมาณ 1 กม. สุดท้าย ก็มีบรรดาเหล่านักวิ่งที่เข้าเส้นชัยแล้ว ต่างก็คอยตะโกน “สู้ๆครับ จะถึงแล้ว”
โค้งสุดท้าย พอเลี้ยวมาก็เห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า อีก 100 เมตร น้ำตามันไหลออกมาเองเลยครับ มันดีใจ มันปลื้มใจ ที่ตัวเองฝั่นฝ่า ทั้งความเจ็บปวด และอุปสรรคมากมาย ตลอดระยะ 42.195 กม. มาได้
โค้งสุดท้าย พอเลี้ยวมาก็เห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า อีก 100 เมตร น้ำตามันไหลออกมาเองเลยครับ มันดีใจ มันปลื้มใจ ที่ตัวเองฝั่นฝ่า ทั้งความเจ็บปวด และอุปสรรคมากมาย ตลอดระยะ 42.195 กม. มาได้
ที่เส้นชัย ผมยกมือขึ้น พร้อมปาดน้ำตา ด้วยหัวใจที่ตื้นตัน เอ่อล้นความสุขและความสำเร็จของตัวเอง … เราทำสำเร็จแล้ว เราเข้าเส้นชัยแล้ว สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าวันนึงเราจะทำได้ วันนี้เราทำได้แล้ว !!! Mission Impossible is now Possible !!!
เราทำสำเร็จแล้ว เราเข้าเส้นชัยแล้ว สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าวันนึงเราจะทำได้ วันนี้เราทำได้แล้ว !!! Mission Impossible is now Possible !!!
Finsiher 42.196 KM
ช่วงเวลาแห่งความภูมิใจก็ยังไม่หมดครับ ก้าวไปรับเหรียญรางวัล และเสื้อ Finisher 42.195 KM แห่งความทรงจำ พร้อมเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้สักหน่อยครับ
สรุป
มาย้อนดูสถิติกันดูครับ…ส่วนตัวผมนั้น หลังจบ “Mission Impossilbe” คงต้องปิดเทอมใหญ่ของการวิ่งไว้เท่านี้ก่อน เพื่อพักรักษาร่างกายหาย แล้วค่อยกลับมาวิ่งด้วยความสุขอีกครั้งครับ…. แล้วเจอกันที่สนามหน้าๆ ครับ ^^
Happy Running นะครับ ทุกคน
สรุปการซ้อมก่อนวิ่งมาราธอน 4 เดือน
- 25K — 3 ครั้ง
- 21K — 6 ครั้ง
- 10K — 15 ครั้ง
- 5K — 1 ครั้ง
- รวมซ้อมไปประมาณ 356K
- เฉลี่ยเดือนละ 89K
สรุปการวิ่ง
- รวมเวลาตั้งแต่เริ่มวิ่ง คือ 1 ปี ( ก.ค. 61 — มิ.ย. 62)
- ลงงานวิ่งรวมทุกงาน 11 งาน + 2 Virtual Run แบ่งเป็น
- 1 x Micro Marathon (5K)
- 7 x Mini Marathon (10.5K)
- 2 x Half Marathon (21.1K)
- 1 x Full Marathon (42.195K)
- 2 x Virtual Run
- 10.5K — Personal Record — 1:12:31 @ TMB Park Run 2018
- 21.1K — Personal Record — 2:39:13 @ The Amazing Thailand Marathon Bangkok 2019 (1st Half Marathon)
- 42.195K — Personal Record — 6:35:48 @ Laguna Phuket Marathon 2019 (1st Marathon)